เทศน์พระ

เด็กน้อย

๒๕ ส.ค. ๒๕๕๗

 

เด็กน้อย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ เราฟังธรรมนะ ฟังธรรมโดยทั่วไป ธรรมทั่วไป เห็นไหม เวลาแกงหม้อใหญ่ นี่แสดงธรรมไปวุฒิภาวะของคนแตกต่างกัน แล้วเขาเป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์ เห็นไหมฆราวาสธรรม ฆราวาสธรรมของเขา เขาก็ปรารถนาความสุขของเขา แต่มุมมองของฆราวาส มุมมองแบบทางโลกแบบวิทยาศาสตร์

เราเป็นพระนะ เวลาเทศน์สอนพระ เพราะพระเข้ามาศึกษา รู้ศัพท์และศัพท์นี่เวลาพูด พูดตรงเข้าสู่กิเลส ถ้าพูดตรงเข้าสู่กิเลส เราต้องมีสติปัญญา เราเข้าใจของเราได้ ถ้าเข้าใจของเราได้ มันเป็นสายตรงไง มันตรงเข้าสู่จิต ถ้าตรงเข้าสู่จิตเราแสวงหาของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติ เขาประพฤติปฏิบัติกันที่จิต ปฏิบัติที่หัวใจ ถ้ามันเข้าตรงสู่หัวใจมันสะเทือนกิเลส แต่เข้าไม่ตรงสู่หัวใจเป็นที่อาการของมันที่ความคิดไง “นี่มันคงเป็นอย่างนั้น มันคงเป็นอย่างนั้น” มันอยู่ข้างนอก มันอยู่ข้างนอกนะ

แต่ถ้ามันเข้าสู่ใจของเรา เห็นไหม มันสะเทือนใจ นี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจเรา แทงเข้าสู่ใจดำ เข้าสู่ใจดำนะ ให้พฤติกรรมของเราให้มันเข้าถึงฐาน ให้เข้าถึงความรู้สึกนึกคิด ถ้าเข้าสู่ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม ต่อไปจะคิดสิ่งใดมันไม่มีหน้าฉากหลังฉาก

ไม่อย่างนั้นความคิด ความคิด เห็นไหม ความคิดของเรามันมีอวิชชาครอบงำอยู่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ชอบธรรม แล้วชอบธรรม เราว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม เราก็คิดแบบนั้นไง เป็นความคิด นี่เห็นไหม มันออกมาจากความคิด ออกมาจากสัญชาตญาณ แต่เวลาฟังธรรมมันแทงเข้าสู่ใจเลยล่ะ

ถ้าแทงเข้าสู่ใจของเรา เห็นไหม นี่ฐานของจิต แทงเข้าที่นั่น ถ้าแทงเข้าที่นั่น ถ้ามันจะคิดอะไร มันมีความระลึกรู้ มันมีความเก้อๆ เขินๆ มันไม่ออกได้เต็มไม้เต็มมือไง แต่ถ้ามันเป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา มันสัญชาตญาณมันไปของมันนะ แต่อวิชชา อวิชชาตัวปั่นป่วนในใจ มันสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาให้เราไม่ทันตัวเราเองไง นี่อวิชชามันครอบงำ

ถ้าอวิชชาครอบงำ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสดงธรรมมีกึ๋นไม่มีกึ๋นอีกเรื่องหนึ่งนะ ถ้าไม่มีกึ๋นก็เอาหนังสือเอาพระไตรปิฎกมาอ่าน พออ่านเราก็อ่านได้เขาก็อ่านได้ แต่ถ้ามันมีกึ๋นมันมาจากข้อเท็จจริง มันมาจากข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงอันนั้นมันมีความละอาย

เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ปฏิบัติสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้ว เห็นไหม เวลาเสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์ นี่อัตโนมัติ อัตโนมัติ ภารา หะเว ปญฺจกฺขนฺธา ความคิดเป็นขันธ์ อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นขันธ์ ขันธ์! เพราะอารมณ์ เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เกิดจากจิตไม่ใช่จิต แล้วมันเสวยออกมา ตัวที่เสวยออกมามันมีความละอาย มันมีความรู้ เห็นไหม เขาถึงว่าเวลามันจะเสวยอารมณ์ สติมันพร้อม มันพร้อมตรงนั้นไง

แต่ของเราถ้าเราฝึกหัดสติ เราฝึกหัดจากความรู้สึกนึกคิดของเรา ไอ้ตัวนั้นมันเป็นพลังงานอยู่เบื้องหลังที่เราเข้าถึงไม่ได้ ถ้าเราเข้าถึงไม่ได้สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่มันเป็นความคิดหมด มันเป็นอาการทั้งหมด มันเป็นอาการเพราะอะไร เพราะมันเสวยภพเสวยชาติเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ของเขา เขาก็มีขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ เห็นไหม เรามีขันธ์ ๕ เรามีกายกับใจ มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสถานะของมนุษย์ สถานะของภพ แล้วเราเข้าไม่ถึงเพราะจิตใจเราหยาบไง

ถ้าจิตใจเราหยาบ เราเข้าไม่ถึงสิ่งนั้น ฟังธรรมๆ โดยสัจธรรม เราฟังธรรมๆ เห็นไหม อริยสัจสัจจะความจริงมันเป็นกิริยา มันเป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เหมือนสูตรทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ สูตรทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่เราไปรู้ไปเข้าใจ เราเอามาคำนวณแล้วมันถึงจะเป็นผลตอบรับที่เราจะต้องการผลประโยชน์ใช่ไหม แต่ใครเป็นผู้คำนวณ ใครไปเอาสูตรวิทยาศาสตร์นั้นมาใช้ประโยชน์ล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ เราก็ว่าเราเข้าใจๆ มันเป็นสูตรสำเร็จขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูตรหมายถึงว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ สมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่าอาการของจิต โลกทัศน์ ความเป็นไป เห็นไหม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เป็นผู้รู้แจ้งโลกนอกและโลกใน โลกนอกก็โลกสมมุติ โลกที่วิทยาศาสตร์นี่โลกสมมุติ โลกนอกโลกใน โลกในก็ภวาสวะภพอันนั้น โลกในที่มันมีความละอาย มันมีความรับรู้ มันถึงเห็นขันธ์ ๕ เป็น ภารา หะเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์คือว่าธาตุรู้ ธาตุรู้นี่ธรรมธาตุมันสะอาดบริสุทธิ์ มันรู้ตัวมัน มันมีความละอาย มันมีความเกรงกลัว มันออกมาสติมันพร้อม ถ้ามันพร้อมมันจะออกมาอย่างไง มันเสวยมันรับรู้ เห็นไหม มันถึงไม่มีเจตนา ไม่มีสิ่งใด เป็นปาปมุต ปาปมุตคือว่าไม่มีกิริยา ไม่มีสิ่งใดที่จะปรับอาบัติ พ้นจากอาบัติไปเพราะเป็นสติวินัยพร้อมหมด พร้อมหมด ถ้าพร้อมหมด

แต่ถ้ามันไม่พร้อม ฟังธรรมๆ มันปฏิเสธตรงนี้ ว่าอวิชชามันครอบงำตัวนี้อยู่ ครอบงำไอ้พวกตัวเบื้องหลังอยู่ แต่ความคิดเบื้องหน้า เบื้องหน้ามันเป็นอาการ มันไม่เป็นตัวจริง ถ้าเป็นตัวจริงแล้วเวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษาอย่างนี้ แล้วก็เอามาใช้กัน เอามาใช้เอามาสั่งสอนกัน เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีกึ๋น

ถ้ามีกึ๋นมันต้องรู้ที่มันมายังไง ความคิดมายังไง เกิดๆ ยังไง อะไรพาเกิด เกิดที่ไหน เกิดแล้วอยู่ในครรภ์ ๙ เดือนออกมาเป็นใคร ออกมาแล้วนี่ที่มันไม่ประพฤติปฏิบัติมันก็ล้มลุกคลุกคลานของมันไป เห็นไหม แต่ถ้ามันมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็เป็นเราอยู่นี่ ถ้าเป็นเรา ครูบาอาจารย์ท่านมีธรรม จากใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงนั้นมันไม่รอบคอบ ใจดวงนั้นไม่เป็นจริง มันจะสื่อสารสัจธรรมออกมาไม่ได้

ถ้ามันจะสื่อสารออกมาก็อ่านตำรากันอยู่นี่ไง เวลาถ้ามันผิด มันผิดก็ตำราบอกไว้อย่างนั้น เพราะเราเข้าใจตำราได้ลึกตื้นหนาบางแตกต่างกัน คนที่เข้าใจตำราได้ลึกตื้นหนาบางขนาดไหนก็สื่อออกมาได้แค่นั้นไง แล้วเวลาผิดพลาดขึ้นมาก็โทษกลับ ไปโทษที่ตำราไง เพราะเราสื่อสารออกมาจากนั่น เราไม่ได้สื่อสารออกมาจากกึ๋น เราไม่ได้สื่อสารออกมาจากใจ ไม่ได้สื่อสารออกมาจากความรู้จริง ถ้าสื่อสารออกมาจากความรู้จริง เห็นไหม ความรู้จริงอันนี้มันจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งมันเห็นหมด แต่เราไม่จริงไง

ดูสิ ทางโลกนะ เมื่อสองวันนี้มันมีเด็กอยู่สองคน เด็กน้อยอายุประมาณสิบขวบ ผู้หญิงสองคน มันต้องไปโรงเรียน พอไปโรงเรียนบ่อยๆ ครั้งเข้า มันไม่อยากไปโรงเรียน มันเห็นข่าวสารว่าเขามีการลักเด็ก มันก็สร้างสถานการณ์ มันสองคนนะ มันช่วยกันสร้างสถานการณ์ว่าขี่จักรยานไปโรงเรียน แล้วกลับมารถตู้เข้ามาจอดเทียบแล้วดึงเด็กนั้นขึ้นรถ คือเขาจะมาลักพาเด็กนั้นไป เด็กอีกคนหนึ่งก็ช่วยกันฉุดกระชากจนเสื้อผ้านี่ขาดหมดนะ เสื้อผ้านี่ขาดหมด เป็นหลักฐาน แล้วก็ไปฟ้องตา ฟ้องตาว่ากลับจากโรงเรียนรถตู้มันจะมาฉุดเอาตัวไป ไปบอกตา เหตุผลคือจะไม่อยากไปโรงเรียน คือไม่อยากไปโรงเรียนแต่สร้างสถานการณ์ขึ้นมา คิดว่ารอบครอบไง

เด็กน้อย! เด็กน้อยทำขึ้นมาเพื่อเหตุผล คือว่าให้มันน่าเกรงกลัวแล้วไม่ต้องไปโรงเรียน แต่ไปบอกตา บอกตา...ตาก็ตกใจ ตาก็ตกใจก็โพนทะนาไปชาวบ้านก็รับรู้กันไปหมด ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ไปแจ้งตำรวจ เรื่องใหญ่โตไปหมดเลย เพราะความเข้าใจว่าเด็กน้อยไม่อยากไปโรงเรียน อยากสร้างสถานการณ์ให้ตาให้มันน่าเชื่อถือ สร้างสถานการณ์ว่าล้มลุกคลุกคลานมีแผลถลอกปอกเปิกเลยนะ เสื้อผ้าขาด พอเรื่องมันไปถึงผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านไปแจ้งความ เขาก็บอกว่าเขาก็แปลกใจ เขาก็พยายามหาหลักฐาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเขามาหาหลักฐาน เพราะมันเป็นภัยสังคม

พอเป็นภัยสังคมเขาไปแจ้งตำรวจ ตำรวจก็ไปหากล้องวงจรปิด บอกขณะเวลาที่เด็กแจ้งความนั้นไม่มีรถตู้ผ่านมา เพราะกล้องวงจรปิดเขาจับอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีรถอะไรเคลื่อนไหวมา มันไม่มีสิ่งใด เหตุผลมันขัดแย้งกัน ซักไปซักมา ซักไปซักมา โอละพ่อ เด็กสองคนมันสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ยอมรับผิด ถ้าไม่ยอมรับผิดมันเป็นภัยสังคม ในเมื่อสังคมมันมีภัยขนาดนั้น มีคนเข้ามาลักพาเด็ก มีคนเข้ามาทำร้ายสังคม แล้วสังคมเขาจะอยู่ยังไง เห็นไหมดูเด็กน้อยมันคิดของมันสร้างสถานการณ์ของมันสิ

อันนี้ก็เหมือนกัน เราย้อนกลับมาหัวใจของเรามันเด็กน้อย ถ้าหัวใจเราเด็กน้อยมันมีความปรารถนาอะไร เห็นไหม เด็กสองคนมันไม่อยากไปโรงเรียน มันจะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เห็นว่ามันมีภัย ถ้ามีภัยก็มีภัยในความคิดของเขา แต่มีภัยอันนี้มันไปสะเทือนกับสังคม มันไปสะเทือนกับฝ่ายปกครอง เพราะฝ่ายปกครองเขาเป็นผู้รักษากฎหมาย ผู้รักษากฎหมายถ้าเขารักษากฎหมายบกพร่อง ตำแหน่งหน้าที่การงานเขาก็ไม่มั่นคง พอค้นคว้าไปค้นหาไปมันเป็นเรื่องโอละพ่อ

จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความปรารถนา เด็กน้อยมันจิตใต้สำนึกที่เราควบคุมสิ่งใดไม่ได้ มันปรารถนาความสะดวก ปรารถนาความสบาย ปรารถนาลาภ ปรารถนายศ ปรารถนาให้คนยอมรับ นี่แรงปรารถนาทั้งนั้น มันสร้างสถานการณ์ มันทำนู่น มันทำสถานการณ์จะให้เป็นสิ่งน่าเชื่อถือ แต่มันขัดแย้งไปหมดเลย ถ้ามันขัดแย้งไปหมด เห็นไหม นี่เด็กน้อย เด็กน้อยในหัวใจมันไม่มีเหตุมีผล ไม่มีความจริงรองรับ มันมีฝ่ายปกครอง เห็นไหม

ดูสิ ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าบอกเรามีคุณธรรมๆ เขาก็ตรวจสอบเราด้วยพระไตรปิฎก มันเข้ากันได้กับพระไตรปิฎกไหม นี่ไง นี่กฎหมาย ธรรมและวินัย แล้วผู้รักษากฎหมายล่ะ ฝ่ายปกครองที่เขาจะดูแลล่ะ ฉะนั้น เวลาทำสิ่งใดมันต้องคิดไง เราต้องรอบคอบ ถ้าไม่รอบคอบมันเด็กน้อย พอทำสิ่งใดขึ้นไปมันมีผลกระทบไปหมดเลย ผลกระทบที่เกิดขึ้นมาเกิดขึ้นมาจากใครล่ะ เกิดขึ้นมาจากมีการกระทำของเรา

แต่เราปรารถนาอย่างหนึ่ง เราต้องการให้มันเกิดผลอย่างหนึ่ง แต่ภาพใหญ่ ภาพของสังคมมันเกิดผลอีกอย่างหนึ่ง มันเกิดผลอีกอย่างหนึ่งเพราะว่าผลของเขา เขามีกฎหมายของเขารองรับ มันมีผลทางกฎหมาย แล้วผู้รักษากฎหมายเขาก็มีความชอบความไม่ชอบในใจของเขาเหมือนกัน เขาถือว่าเขาถือกฎหมาย เขาถือกฎหมายเขาก็ต้องรักษาสถานะของเขา เขาเอากฎหมายนี้เป็นเครื่องมือของเขา

แต่คนรักษากฎหมายที่เป็นคนดีล่ะ คนดีเขาก็ช่วยเหลือสังคม เขาก็ดูแลใช่ไหม แต่นี้มันผิดมาตั้งแต่ต้น ผิดมาตั้งแต่ต้นเพราะเด็กน้อยมันสร้างสถานการณ์ มันสร้างสถานการณ์มันไม่มีหลักฐาน ฉะนั้น มันต้องออกมายอมรับว่าสร้างสถานการณ์ เพราะเหตุใด เพราะไม่อยากไปโรงเรียน เห็นไหม เพราะความไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กน้อยสังคมปั่นป่วนไปหมดเลย เพราะมันเกิดภัยสังคมขึ้นมา เพราะภัยสังคมขึ้นมาเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเขาสะเทือนถึงตำแหน่งหน้าที่ของเขา มันสะเทือนกันไปหมดเพราะอะไร เพราะจิตใจเรามันไม่รอบคอบ

นี่เหมือนกัน ถ้าความเป็นอยู่ของเรา เห็นไหม เราต้องตั้งสติของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา ต้องทำตามความเป็นจริง ต้องมีเหตุมีผลรองรับ ถ้าเราตั้งสติ เราต้องเอาความคิดของเราไว้ในอำนาจของเรา ถ้าไว้ในอำนาจของเรา สร้างสถานะให้พ้นจากความเป็นเด็กน้อย ถ้าพ้นจากความเป็นเด็กน้อยนะ เพราะถ้ามันสงบขึ้นมามันต้องมีเหตุมีผลสิ

มันไม่สงบเพราะอะไรล่ะ เพราะมันมีภาระรุงรัง มันมีสิ่งใดกดถ่วงในใจ ถ้าเราสละสิ่งนั้นไม่ได้ มันจะเกิดความสงบได้ยังไง มันขัดแย้งกัน เหตุผลมันไม่ลงกัน ถ้าเหตุผลไม่ลงกัน ดูสิ คนที่สงบ คนที่สงบคือมันไม่คลุกคลี คนมันสงบมันก็ต้องปล่อยวางสิ่งนั้นได้ คนไม่สงบ แสดงว่ามันไม่สงบอยู่ มันไปแบกหามอยู่อย่างนั้นมันจะสงบได้ยังไง มันขัดแย้งกันตามหลักความเป็นจริง ถ้าหลักความเป็นจริงถ้าคนมันสงบมันจะสงบนิ่งของมัน มันพอใจกับความเป็นอยู่อย่างนี้ พอใจเพราะอะไร เพราะจิตใจเราดี จิตใจเราสงบ

มันมีเหตุมีผลรองรับ ถ้ามันมีเหตุผลรองรับมันเป็นความจริงขึ้นมา ใครจะตรวจสอบไม่ตรวจสอบมันก็เป็นความจริง แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริง มันขัดแย้งกันโดยข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แต่ถ้าสังคมเขามีวุฒิภาวะ เขาก็ว่าเด็กน้อย เขาก็อะลุ่มอล่วย เขาก็ปล่อย เขาอะลุ่มอล่วย เขาว่าเดี๋ยววุฒิภาวะถ้ามันโตขึ้นมามันจะรู้ของมันเอง เขาก็รอวันเวลาจะให้มันเป็นแบบนั้นไง แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ถ้าเขาไม่สร้างสิ่งใดมากระทบกระเทือนกับสังคมมันก็ไม่มีปัญหา

แต่ถ้าเขาสร้างสิ่งใดขึ้นมากระทบกระเทือนสังคม เพราะเขามีเจ้าหน้าที่ เขาผู้รักษากฎหมาย มันสะเทือนกับวุฒิภาวะของเขา ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ของเขา เขาก็ต้องดูแลของเขา ถ้าเราไม่สร้างสิ่งใดไปกระเทือนเขา มันก็ไม่ไปกระเทือนเขาใช่ไหม นี่พูดถึงปัญหาสังคมนะ แล้วปัญหาสังคม นี่ปัญหาสังคม แล้วสังคมมันเกิดจากใคร สังคมก็เกิดจากมนุษย์ มนุษย์รวมกันมนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องอยู่พึ่งพาอาศัยกัน มันถึงมีกฎหมายขึ้นมา

แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ธรรมะมันขัดเกลาหัวใจนี่ ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกัน สังคมเราวางไว้ เรามองเป็นบุคลาธิษฐานได้ มันมองเปรียบเทียบเข้ามาในหัวใจของเราได้ มันมองเปรียบเทียบขึ้นมาเพราะใจนี้เป็นนามธรรม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเที่ยวกายนคร กายนครมันก็ภพชาติหนึ่ง เหมือนประเทศชาติประเทศชาติหนึ่ง ประเทศชาติหนึ่งเขามีประชากรของเขา เขามีทรัพยากรของเขา เขามีบุคลากรของเขา เขามีงบประมาณของเขา เขาต้องมีเจ้าหน้าที่ของเขา มันถึงเป็นชาติขึ้นมาได้ แล้วนี่เหมือนกัน การเที่ยวกายนคร ดูสิ ภพชาติอันนี้ ความรู้สึกนึกคิดอันนี้มันใหญ่โตขนาดนั้น มันต้องมีสติมีปัญญาดูแลรักษาสิ

ถ้ามันมีสติมีปัญญาดูแลรักษาขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นทรัพยากรของการปฏิบัติ มันเป็นมรรค ถ้าเป็นมรรคขึ้นมามันจะเข้าใจหัวใจอันนี้ ถ้ามันเข้าใจหัวใจอันนี้ เรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เพื่อเหตุนี้บวชมา เป็นฆราวาสพอเข้ามาสู่ศาสนา เห็นไหม ศาสนานี่เข้ามาตั้งแต่อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ อกรณียกิจ ๔ กิจที่ควรทำได้ กิจที่ควรทำไม่ได้ พอบวชเข้ามาแล้วธรรมวินัยนี้ไม่ยกเว้นแล้ว บวชขึ้นมายกเข้าหมู่ขึ้นมาศีล ๒๒๗ เหมือนกันหมด แล้ววุฒิภาวะของการเป็นสมณะเป็นพระเหมือนกัน

เราจะยอมรับกันก็ยอมรับแต่ความดีงามกับคุณธรรม ธรรมวินัยเรายอมรับกันอยู่แล้ว บวชเก่าบวชใหม่มันก็ยอมรับกันอยู่โดยธรรมวินัย มันยอมรับโดยสังคม สังคมต้องยอมรับอยู่แล้วเพราะเราอยู่ในสังคมมันมีวัฒนธรรม มันมีกติกาสังคม แต่ถ้าเขามีคุณงามความดีในใจของเขา นี่การยอมรับมันยอมรับที่นี่ เขามีคุณธรรมของเขา คุณธรรมอะไร คือน้ำใจ คือมีน้ำใจ มีความเมตตา มีความกรุณา มีความดูแลกัน มันยอมรับกันตรงนี้ ถ้ายอมรับกันตรงนี้ เห็นไหม ยิ่งครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติขึ้นมาแล้วท่านมีคุณธรรมของท่าน มันรู้ได้นะ

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด พระไปอยู่ที่ไหนสัตว์ป่ามันจะมาอาศัย เพราะมันอาศัยผ้าเหลือง พระจะไม่ทำลายมัน ไปดูพระสิ พระบางที เขาฆ่าสัตว์ เขากินกันตลอด พระอย่างนั้นก็มี แต่โดยความรู้สึกของสัตว์ มันอยู่กับผ้าเหลือง ถ้ามีผ้าเหลืองที่ไหน ถ้ามีพระที่ไหนมันเป็นที่ปลอดภัย สัตว์มันเข้าไปพึ่งพาอาศัยนะ เพื่อพ้นจากการล่า สัตว์มันก็ยังหวังพึ่งเลย

แต่ถ้าหัวใจของเราล่ะ หัวใจของเรา เห็นไหม ที่เป็นนามธรรมๆ อย่าให้มันเป็นเด็กน้อยจนเกินไปนัก แล้วทำเด็กน้อยไป ตัวเองเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้น่ะ เพราะวุฒิภาวะมันรู้ไม่ได้ แล้วทำออกไป ไอ้คนที่เขาเห็น คนที่เขารู้ ผู้บวชเก่า เห็นไหม ดูสิ ผู้บวชเก่า ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา เขาผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาเยอะแยะ เขาผ่านเหตุการณ์ที่พระเข้ามาแล้วเขามีปฏิกิริยา เขาผ่านมาหมด เขารู้หมด เพียงแต่ว่าพูดไปเวลามันห่างกันไง หัวใจความรับรู้มันแตกต่างกัน พูดไปมันก็ขัดแย้งกัน เห็นไหม

ความทิฏฐิไม่เสมอกันล่ะ พอทิฎฐิไม่เสมอกัน ผู้ที่มีคุณธรรมก็ให้อภัย ก็รอให้เขาโตขึ้นมา ให้เขารับรู้ เขาก็จะมีความละอายแก่ใจเขาขึ้นมาเอง เห็นไหม ถ้าเขามีความละอายแก่ใจเขาปล่อยวาง ทำอย่างนั้นได้ไหม เขาเปลี่ยนนิสัยของเขาได้ไหม เขาพยามยามทำขึ้นมาให้มันเสมอกัน ให้มันอยู่ด้วยกันได้ไหม

ถ้ามันอยู่ด้วยกันขึ้นมา เห็นไหม นี่จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ผู้ที่มีประสบการณ์ก็พยายามอบรมบ่มเพาะ นี่ศาสนทายาท เพื่อให้เข้ามาสู่หมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์อยู่ด้วยกันด้วยความอบอุ่น ด้วยความไว้วางใจกัน ถ้ามันอยู่ด้วยความไม่ไว้วางใจ เห็นไหม มันน่าคิดนะที่ว่าเวลาปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ เวลาคุยก็คุยกันดี แต่ลับหลังมันทิ่มเอาๆ ไอ้เรื่องกิเลสมันน่ากลัวอย่างนี้

หลวงตาท่านพูด เห็นไหม “มันทิ่มมันแทงหลังเราอยู่ ๗ ปีๆ คนโน้นแทง คนนี้แทง” ท่านทน ทั้งๆ ที่เขาว่าท่านเป็นอาจารย์ ทั้งๆ ที่หลวงตาเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ทุกคนเคารพนับถือ แต่กิเลสมันคัน ไอ้กิเลสในใจมันเอาไม่อยู่ มันยังไปทิ่มท่านได้ยังไง แล้วท่านก็บอก “เราทนให้มันแทงอยู่ ๗ ปี ทนให้มันแทงอยู่อย่างนั้น” คนมีคุณธรรมมันน่าเห็นใจไหม เวลาคิดถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมมันสะเทือนใจมากนะ มันสะเทือนใจว่าท่านทนให้ไอ้พวกนั้นมันทิ่มแทงอยู่อย่างนั้น แล้วถ้าเป็นทางโลกเขาสลัดมันก็หลุดแล้ว ทำไมท่านต้องรักษาของท่านไว้ล่ะ ทำไมต้องมาดูแลอย่างนั้น

ทางธรรมก็ว่ามันเป็นกรรมๆ ถ้าเป็นกรรม คำว่าเป็นกรรมคนเรามันก็สร้างเวรสร้างกรรมมาทั้งนั้น การสร้างเวรกรรมมาพอความเป็นกรรม แล้วเป็นกรรมเราจะสร้างเวรสร้างกรรมไปอีกใช่ไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นพระอะไร หลวงตาท่านเป็นพระอะไร แล้วเอ็งไปสร้างเวรสร้างกรรม แล้วเอ็งว่าเป็นลูกศิษย์ แล้วเอ็งก็มีคุณธรรมด้วย แล้วเอ็งไปทำอย่างนั้น มันจะสร้างเวรสร้างกรรมไปข้างหน้าอีกทำไม เกิดมาชาตินี้ก็สุดยอดแล้วนะ เกิดได้เป็นมนุษย์ แล้วมาบวชเป็นพระด้วย แล้วได้อยู่กับครูบาอาจารย์ที่จิตใจเป็นธรรมด้วย แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านคุ้มครองดูแลด้วย แล้วเอ็งไปทำอย่างนั้นได้ยังไง กิเลสมันน่ากลัวๆ อย่างนี้

ฉะนั้น ถ้าน่ากลัวอย่างนี้ปั๊บนี่ กิเลสน่ากลัวที่เวลามันขวางโลกนะ ดูสิ พญามารเขี้ยวเล็บมันแหลมคมขนาดนั้น แต่ถ้ามองเป็นทางธรรม เด็กน้อย! เด็กน้อยเพราะอะไร เพราะไม่รู้เท่าทันตัวเอง เด็กน้อย เด็กน้อยแค่ไม่อยากไปโรงเรียน มันจะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาด้วยความว่าเอาเหตุเอาผลไปบอกกับตาว่าจะไม่ไปโรงเรียน มันสะเทือนสังคมไปนะ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งโรงพักเขาต้องไปรื้อค้นข้อมูล ไปดูวงจรปิด ไปถึงกลับกลายเป็นว่าเด็กมันสร้างสถานการณ์

นี่เด็กน้อย! เด็กน้อยเวลามันทำอะไรไปมันคิดแค่ผลประโยชน์ของมัน แต่ภาวะสังคมภาวะความเป็นอยู่มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นไม่ได้เราต้องคิด เราคิดของเราสิ เราคิดของเราสิ เราคิดของเรา เห็นไหม ดูแลหัวใจของเรา พิจารณาตรงนี้เข้ามา เพื่อประโยชน์กับเราไง เพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้ามันประโยชน์ตรงนี้ได้ มันดูแลเราได้ มันทำให้เราเติบโตขึ้นมา แล้วเติบโตขึ้นมาถ้ามีสติปัญญาก็คุ้มครองหัวใจนี้ เอาหัวใจนี้คุ้มครองหัวใจนี้เพื่อพัฒนามันขึ้นมา มันก็จะโตขึ้นมามันไม่เป็นเด็กน้อย ถ้าไม่เป็นเด็กน้อยทำอะไรมันก็คิดแล้ว

ในเมื่อจะไม่ไปโรงเรียน ถ้าไม่ไปโรงเรียนมันก็ต้องมีเหตุผล ทำไมถึงไม่ไป ถ้าไม่ไปโรงเรียนนี้จะไป กศน. ใช่ไหม จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียนก็ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไปฝึกวิชาชีพเอา ถ้าจะไม่ไปก็บอกสิว่าเราอยากจะใช้ชีวิตยังไง เราอยากดำรงชีวิตยังไง ก็ว่ากันไปตามจริง ไอ้นี่มันพูดไม่ได้ พูดไม่ได้ เหตุผลพูดไม่ได้มันก็ขัดแย้งกันไปหมด ถ้าใจมันยังเป็นเด็กน้อย แต่ถ้าใจมันพัฒนานะ พัฒนาอย่างนี้ เราจะเห็นโทษเอง เราจะเห็นอะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ

ถ้าสิ่งที่เป็นคุณ เห็นไหม เป็นคุณที่เราฝึกหัดกันอยู่นี่ มีสติมีปัญญารักษาใจเราให้มันมีวุฒิภาวะโตขึ้นมา งานก็คืองาน การทำอย่างนี้มันไม่มีความเสียหาย ยิ่งทำยิ่งได้ ดูสิ ดูเวลานักกีฬา เห็นไหม เช้าขึ้นมาเขาได้ออกกำลังกายเหงื่อไหลไคลย้อยเลย แต่ทุกคนพอใจ ทุกคนอยากทำ อยากทำเพราะร่างกายเขาสดชื่น ร่างกายเขาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เขาทำขึ้นมาแล้วเขาได้ผลประโยชน์ในตัวเขา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญามันจะทำเพื่อหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจเราทำเพื่อประโยชน์กับเรา เวลาภาวนาใครภาวนากับเราได้ เราฟังครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ เราก็อยากมีคุณธรรม ในวงปฏิบัติความสำคัญที่สุดคือขณะฟังธรรม เพราะขณะฟังธรรม ถ้าไม่ฟังธรรมเรานั่งสมาธิเองใช่ไหม เวลามีปัญหาขึ้นมาในหัวใจเราก็ต้องแยกแยะเองใช่ไหม ถ้าวุฒิภาวะไม่พอมันก็ลุ่มหลงไป มันเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วว่าจิตนี้สงบแล้ว จิตนี้มีปัญญาแล้ว พอพิจารณาด้วยความชอบใจของตัวก็นี่เป็นโสดาบัน พอพิจารณาด้วยความชอบใจของตัวก็ว่าเป็นสกิทา พอพิจารณาด้วยความชอบใจของตัวเป็นอนาคา พอพิจารณาด้วยความชอบใจของตัวเป็นพระอรหันต์แล้ว ทั้งที่ไม่เป็นอะไรเลย นี่เพราะอะไร

เพราะเราพิจารณาด้วยตัวของเราเอง พอฟังธรรมๆ ฟังธรรมด้วยเหตุนี้ ฟังธรรมเพราะครูบาอาจารย์ท่านมีหลักมีเกณฑ์ของท่านอยู่แล้ว ถ้ามันจะพิจารณายังไง จนได้เป็นโสดาบัน มันต้องมีเหตุมีผลรองรับ มีเหตุมีผลตามเป็นจริงรองรับ ไม่ใช่ปัญญาเด็กน้อยว่าจับชุบมือเปิบแล้วก็จะเป็นโสดาบัน หลงๆ ลืมๆ ขึ้นมาก็เป็นสกิทา นอนหลับไปตื่นขึ้นมาก็เป็นพระอนาคา หาตัวเองไม่เจอก็เป็นพระอรหันต์ มันเป็นธรรมของใคร มันเป็นธรรมของใคร

แต่ถ้าฟังธรรมๆ มันยืนยันกันตรงนี้ไง มันยืนยันด้วยเรามีทิฏฐิอย่างนี้ เรามีความเห็นอย่างนี้ แล้วท่านแสดงธรรมออกมา เหตุผลทำไมไม่เหมือนเราเลย ทำไมเหตุผลท่านแจกแจงละเอียดไปกว่าเรา เอ๊ะ! แล้วความรู้อย่างนี้เราไม่รู้จักเลย แล้วมันเป็นพระโสดาบันขึ้นมาได้ยังไง เรายังไม่รู้จักตัวตนของเรา เรายังไม่รู้จักต้นเหตุ ไม่รู้จักปูนหมายป้ายทางที่มันจะจบสิ้นกระบวนการ เราไม่รู้เลย

แต่เวลาท่านพูดออกมา เอ๊ะ! เอ๊ะ! เพราะท่านมีกึ๋นไง ท่านมีกึ๋นแต่เราเป็นเด็กน้อย เราจะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อความไม่อยากไปจมอยู่กับกิเลส คิดว่าตัวเองจะเอาตัวเองรอดได้ มันเลยเอาตัวรอดไม่ได้ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะความขี้เกียจ เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะความคิดที่ไม่เป็นจริงไง

แต่ถ้ามันเป็นจริงล่ะ เห็นไหม มันมีเหตุมีผลรองรับ มันเป็นความจริงของมันทั้งนั้น ถ้าความจริงอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่พัฒนาใจของเรา โตจนป่านนี้ บวชเป็นพระต้องอายุ ๒๐ ถ้าเป็นสามเณร เห็นไหม ต้องไล่กาได้ นกมามันจะกินข้าวแห้งที่เขาเหลือไปตากไว้ ถ้ามาไล่นกได้ บวชเณรได้ แต่ถ้าบวชพระต้อง ๒๐ เพราะ ๒๐ บรรลุนิติภาวะ มันช่วยเหลือตัวเองได้ ออกธุดงค์ออกต่างๆ ออกธุดงค์การดำรงชีวิตมันช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นพระไง

เวลาบวชเป็นพระ เห็นไหม เป็นโรคร้ายหรือเปล่า เป็นหนี้หรือเปล่า เป็นอะไรหรือเปล่า เพราะอะไร เพราะไม่ต้องการให้สังคมเขาติฉินนินทาว่าหลบหนีมาบวช ก่อนมาบวชต้องไม่มีหนี้ ต้องไม่มีโรคร้าย ต้องเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานบวชไม่ได้ บวชไม่ได้ เห็นไหม กลั่นกรองขึ้นมาแล้วไง ที่นี้เราเป็นมนุษย์ ๒๐ เราถึงบวชได้ บวชแล้วเราจะทำสิ่งใด เราจะรักษาตัวเองรอดได้ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมาเราดูแลใจของเรา

ถ้าความเป็นเด็กน้อยวุฒิภาวะมันด้อย แล้วทำอะไรไปคิดว่ามันแนบเนียน ทำอะไรไปคิดว่ามันไม่มีผลกระทบ มันมีผลกระทบหมดนะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามีเหตุมีปัจจัยแล้วมันมีผลแน่นอน เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน ท่านเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน มันถึงเวลาหรือยัง ถ้าไม่ถึงเวลา เวลาตัดสินสิ่งใดไปมันหาว่าลำเอียง แต่ถ้าถึงเวลาด้วยเหตุด้วยผลแล้วอย่างนั้นปั๊บมันต้องตัดสิน ตัดสินเพื่ออะไร

เพราะเรามาปฏิบัติกันอยู่นี่เราต้องการอะไร เราต้องการสัจธรรม ต้องการความจริงใช่ไหม แล้วสิ่งที่เหตุผลมันไม่เพียงพอมันเป็นความจริงหรือเปล่า มันไม่เป็นความจริง สิ่งที่ไม่เป็นความจริงมันต้องขัดแย้งกับความจริงแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าขัดแย้งกับความเป็นจริง มันต้องยันกับความเป็นจริงนั้นสิ สัจจะก็คือสัจจะ เราแสวงหาอริยสัจจะนะ เราไม่ได้แสวงหาสัจจะธรรมดานะ ดูสิ พระอาทิตย์ขึ้นมันต้องร้อน แล้วทำไมเราต้องการความร่มเย็น หรือทำไมเราหลบร่มล่ะ

สิ่งนี้มันสัจจะ ทางวิทยาศาสตร์มันเป็นสัจจะแน่นอนอยู่แล้ว แต่เวลากิเลสมันลึกลับซับซ้อนกว่านั้น เพราะมันมีความอ้อยสร้อย มีความอ้อยอิ่ง มีการบังเงา มีการฉ้อฉล กิเลสมันมีชีวิต มันพลิกแพลงนะ มันพลิกแพลงมันซ่อนเร้น มันทำลายเราทั้งนั้น แล้วการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราปฏิบัติเพื่อจะค้นหากิเลสก่อนนะ จิตสงบแล้วไม่เห็นกาย ไม่เห็นเวทนา ไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริงคือไม่เห็นกิเลส

คนไม่เคยเห็นกิเลสจะชำระกิเลสได้ยังไง! คนไม่รู้จักเป้าหมายของตัว ทุกคนตั้งเป้าว่าอยากจะพ้นจากทุกข์ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วงมโข่งอยู่ ไม่รู้จักเป้าหมายเลย ไม่รู้จักสถานที่เลย ไม่รู้จักการกระทำเลย มันจะมีผลจากการกระทำนั้นได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้ามันเป็นไปได้ จิตมันสงบแล้ว เห็นไหม ถ้าสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต ตามความเป็นจริง คือเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นสติปัฏฐาน ๔ เพราะกิเลสมันอาศัยสติปัฏฐาน ๔ ออกแสวงหาเพื่อผลประโยชน์ของมัน กิเลสเป็นนามธรรม แล้วกิเลสมันจะแสวงหาผลประโยชน์ กิเลสมันจะหาผลประโยชน์ของมัน มันจะหาผ่านใคร

ดูไฟฟ้าสิ ไฟฟ้า เห็นไหม ดูสิ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า มันผ่าลงมาคนตายเลย ฟ้าผ่า มันไม่มีสายล่อฟ้า ฟ้ามันผ่าลงมาโดยธรรมชาติของมัน แต่เวลารัฐบาลเขามีสาธารณูปโภค เขามีไฟฟ้า มีถนนหนทางเพื่อประชาชน เขาต้องมีสายส่ง เขามีสายไฟของเขา เขาส่งพลังงานนั้นไปสู่เป้าหมายของเขา ไฟฟ้าไฟสถิตบนอากาศ เวลาฟ้าร้องฟ้าผ่ามันผ่าลงมาคนตาย มันมีแต่ความเสียหาย แต่เวลาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเขากำเนิดไฟฟ้าขึ้นมาเพื่อพลังงาน เขามีศูนย์ของเขา เขามีสายส่งของเขา เพื่อส่งพลังงานสู่บ้านสู่เรือนสู่อุตสาหกรรมของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันจะเกิดมรรคเกิดผลประโยชน์นะ ไม่ใช่เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่า ผ่ามาตายหมด แล้วก็บอกว่าไฟก็มีอยู่แล้ว ไฟฟ้าบนอากาศก็มีอยู่แล้ว เดี๋ยวมันผ่าลงมาเป็นล้านๆ โวลต์เลย โรงงานอุตสาหกรรมไหนมาเดี๋ยวสร้างไว้ เดี๋ยวกูจะส่งไฟให้มึงเลย แล้วมันจะมีอะไรเหลือ นี่ไงเด็กน้อย! ไม่ต้องทำอะไรเลย นึกเอาคาดหมายเอาว่ามันจะมีมาเอง แล้วมันจะเอามาจากไหน

แต่เวลาเราเกิดมา เรามีจิตปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ เกิดในครรภ์ กำเนิด ๔ นี่มันมีกำเนิด ๔ กำเนิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เกิดมามีสติปัญญา มนุษย์เกิดมาเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มนุษย์ถึงได้มาบวชพระ บวชพระปฏิญาณตนว่าเราเป็นนักรบ เราเป็นนักรบจะรบกับกิเลส แล้วกิเลสอยู่ที่ไหน เห็นไหม เข้ามาแล้ว กิเลสมันอยู่ที่ไหน เราจะรบ รบทัพจับศึกกับกิเลส เราจะมีอาวุธอะไรไปสู้กับมัน ศีล สมาธิ ปัญญา มันอยู่ไหน

ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดมาจากอะไร เกิดจากจิต จิตที่เกิดเป็นมนุษย์ทุกข์ๆ ยากๆอยู่นี่ เวลามันฝึกหัดขึ้นมา มันสร้างสมตัวมันเองขึ้นมามันก็เกิดสติ มีสติมันก็ยับยั้งความคิดของตัวเองขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามาก็เป็นสมาธิ ศีลก็เกิดสมาธิ ถ้าเกิดปัญญาก็เกิดภาวนามยปัญญา มันไม่ใช่เด็กน้อย มันทำเป็น สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์เขามีสติปัญญาของเขา มันมีมรรคญาณอันนี้มันถึงจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ แล้วคนที่มีมรรคญาณขึ้นมามันมีอาวุธ มันมีคุณธรรมอย่างนี้ สิ่งที่เป็นการดำรงชีวิต เห็นไหม มันถึงมีพร้อมไง

คำว่ามีพร้อมมันก็ไม่ใช่เด็กน้อยใช่ไหม จะทำอะไรมันมีเหตุมีผลไง แต่ถ้ามันยังเป็นเด็กน้อยอยู่มันจะมีสมาธิขึ้นมาได้ยังไง มันมีแต่ความโลภ ความคิดฉ้อฉล ความคิดว่าตัวเองจะเอาตัวรอด แต่มันก็เลยกลายเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมสร้างผลกระทบ ผลกระทบถึงสังคมเลย เพราะสังคมเขาเป็นผู้ดูแลรักษาอยู่ มันเป็นภัยสังคมไง นี่เราบวชมาเป็นพระ เห็นไหม ถ้าบวชเป็นพระตอนนี้เขาพยายามจะคืนความสุขให้กับศาสนาด้วย ก็เขาเห็นพระเป็นภัยไง เพราะเขาเห็นพระเป็นภัยเขาถึงต้องมาตรวจสอบต้องควบคุมดูแลพระ แล้วเราเป็นพระมันต้องมาควบคุมดูแลอะไรล่ะ เพราะเรามีแรงปรารถนา

เราปรารถนาคุณธรรม ปรารถนาสิ่งที่เหนือโลก แล้วกฎกติกาทางโลกที่ว่าเขาควบคุมไว้ไม่ให้ทำความชั่วๆ เราจะไปทำทำไม เราไม่ทำอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ทำอยู่แล้วเพราะเราทิ้งมาแล้ว เราปรารถนาอริยสัจ ปรารถนาความจริง ปรารถนาสิ่งที่เป้าหมาย เรายังจะมาทำศีล สมาธิ ปัญญาของเรา เพื่อเป้าหมายของเรา เพื่อผลประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น ถ้ามันทำอย่างนี้แล้ว เห็นไหม ดูสิ ทางโลกเขาบอกว่า ถ้าคนมีศีล ๕ แล้วกฎหมายนี้ไม่ต้องใช้บังคับเลย เพราะคนมันมีศีลอยู่แล้ว มันไม่ลักไม่ชิงไม่ขโมยของใคร ไม่พูดปดไม่มดเท็จอะไรนี่ มันไม่ต้องมีกฎหมายอยู่แล้ว แต่มันก็ต้องมีเพราะคนไม่ใช่คนดีทั้งหมด มันมีคนเลว คนที่ฉ้อฉล คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน

นี่ก็เหมือนกัน เรามาบวชเป็นพระ เรามีเป้าหมาย เป้าหมายที่เราจะพ้นจากทุกข์ เราจะมีธรรมเหนือโลก เราจะมีธรรมของเรา จิตใจของเรา เห็นไหม ดูสิ ขนาดมีการบังคับมันยังแถกัน มันยังทำความผิดกัน นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมา คุณธรรมก็ศีล สมาธิ ปัญญา แต่กิเลสมันฉุดกระชากไป กิเลสมันฉุดกระชากไป มันทำอะไรไปเราก็ต้องสู้กับมันไง สิ่งนี้มันเป็นผลกับเรา มันเป็นผลกับเรา

แต่เราทำสิ่งใดไปแล้วมันกระเทือนคนอื่นนะ เพราะอะไร เพราะเราเป็นสังฆะ สังฆะคือสงฆ์รวมกันเป็นกลุ่มชน นี่สังฆะ เห็นไหม นี่ทำสังฆกรรม การทำสังฆกรรม ถ้าทำสังฆกรรมมันก็มีวินัยในสังฆกรรม เป็นโมฆะ เป็นโมฆียะ ถ้าทำผิดก็เป็นโมฆียะ ถ้ายิ่งทำผิดเป็นโมฆะไปเลย เป็นโมฆะสิ่งที่ทำแล้วเหมือนกับไม่ได้ทำ ไม่มีผล แล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง

แม้แต่การทำสังฆกรรมมันก็ยังมีขอบมีกติกา มันต้องมีกติกา พอมันมีกติกาขึ้นมาแล้วเราทำให้มันถูกต้องดีงามขึ้นมา ถ้าถูกต้องดีงามขึ้นมาก็เป็นจุดเป้าหมายของเรา เราบวชมาเพื่อเหตุนี้ ดูทางโลก เห็นไหม เขาบอกว่าไหว้พระ เดิมก็ลูกชาวบ้าน ลูกชาวบ้านก็มาจากคนไง พระก็มาจากพ่อจากแม่ ทุกคนก็มีพ่อมีแม่มาทั้งนั้น ก็พระก็มาจากคนอยู่แล้ว ไหว้พระก็ลูกชาวบ้าน แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมโดยความอบอุ่น มันจะกราบลูกชาวบ้านเท่าไหนก็เป็นพระจริงๆ

เราเป็นพระแล้ว เราบวชแล้ว เรามีศีลแล้ว เรามีศีล ๒๒๗ แล้ว เราปฏิญาณตนว่าเป็นศากยบุตร บวชมาเป็นพระแล้วพระยกเข้าหมู่ ฉะนั้น ธรรมวินัยบังคับแล้ว ถ้าทำดีเราจะได้บุญกุศล ถ้าทำสมาธิได้จิตจะมีความสุขมีความระงับของเราขึ้นไป แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมา เราทำของเราขึ้นไปแล้ว พฤติกรรมของเรามันจะเข้าสู่สัจจะ มันจะเข้าสู่ความจริง ไอ้กฎหมายที่บังคับเวลาคนทำความผิด อันนั้นไว้บังคับคนที่มันแถ คนที่ออกนอกลู่นอกทาง

แต่ถ้าคนที่เข้าเป็นความจริงแล้ว นี้ความจริงของใคร ความจริงของกิเลสไง ความจริงของกิเลสว่าเราทำดีกว่าเขา ดีอะไร ดีที่หลบหลีกอย่างนั้นมันไม่ใช่ดีจริง ดีจริงมันต้องดีต่อหน้า ประชุมประชุมพร้อมกัน เลิกประชุมเลิกประชุมพร้อมกัน ในคารวะหก ในนวโกวาท นวโกวาทเขาคัดลอกมาจากพระไตรปิฎก จะทำให้สังคมนั้นเจริญรุ่งเรือง แต่สังคมไหนเวลาประชุมแล้วต่างคนต่างมา ต่างคนต่างหลบต่างหลีก เห็นไหม สังคมนั้นมีวันเสื่อมอย่างเดียว

สังคมใดเคารพผู้เฒ่าผู้แก่ สังคมใดเชื่อฟังผู้ที่มีปัญญา ผู้รัตตัญญูไง ไอ้นี่เขามีปัญญาแต่มันหมดสมัยแล้ว เดี๋ยวนี้สมัยใหม่แล้ว สมัยนี้เขาไม่ต้องพึ่งใครเลย เขาเข้ายูทูป เขาพึ่งตรงนั้น แล้วยูทูปมันสอนอะไรมึง มันหาให้มึงกินไหม ยูทูปมันส่งข้าวมาให้มึงกินหรือเปล่า มันไม่ได้ส่งข้าวมาให้มึงกินเลย ข้าวจะมีข้าวกินก็ปลีแข้ง ทุกอย่างมันเกิดจากเราทั้งนั้น

ถ้าเรามีสติมีปัญญาอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์เกิดขึ้นอย่างนี้ เห็นไหม เราจะพัฒนาใจของเรานะ อย่าให้ใจมันไม่เติบไม่โตเสียที ถ้าใจไม่เติบไม่โตมันเป็นเด็กน้อย มันเป็นอนุบาลอยู่ตลอดเวลา แล้วศาสนามันจะพึ่งใคร พระที่บวชมานะ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะตายไปข้างหน้า แล้วผู้รุ่นใหม่จะเติมเข้ามาๆ เห็นไหม เวลาส่งบัญชีกลางปี เห็นไหม เขาจะถามว่า ๕ พรรษาเท่าไหร่ ๑๐ พรรษามีกี่องค์ ๒๐ พรรษาเหลือกี่องค์ ๓๐ ๔๐ นี่เหลือกี่องค์ ยอดของเจดีย์ไง เขารอกันตรงนั้นนะ

ฉะนั้น พยายามทำคุณงามความดีของเรา สร้างใจของเราขึ้นมาให้มันเจริญเติบโต อย่าปล่อยไว้อย่างนี้ ปล่อยให้ใจของเราเป็นเด็กน้อยอยู่อย่างนี้ ถ้าเป็นเด็กน้อยมันจะไม่เป็นประโยชน์กับใคร ถ้ามันเป็นประโยชน์เป็นประโยชน์กับเรา สร้างใจของเรา ดูแลใจของเรา เราอย่าคิด อย่าคิดว่าเราทำไปแล้วเราจะได้ประโยชน์ แล้วคนจะรู้ไม่เท่าทัน

คนที่เขารู้เท่าทัน เห็นไหม ดูเด็กสองคนมันไม่อยากไปโรงเรียนสิ มันสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพราะแค่ไม่อยากไปโรงเรียน ปู่ยาตายายมันจะติดคุกเชียวล่ะ ไปแจ้งความก็แจ้งความเท็จ ไปแจ้งความว่าหลานโดนแก๊งมิจฉาชีพลักพาตัว แล้วถ้ามันไม่เป็นจริงก็แจ้งความเท็จ ไปบอกตาบอกยายให้ติดคุก นี่เพียงแต่เขาไม่เอาเรื่องเพราะมันเป็นเรื่องที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ถ้าเป็นคนเถรตรงขึ้นมานะ ไอ้ตานั้นติดคุกเลย มันแจ้งความว่าเขามาฉุดมาลักพาตัวเด็ก ไอ้นี่แจ้งความเท็จ เพราะแจ้งความเท็จเพื่อเขาจะไม่ต้องเสียหายไง พวกเจ้าหน้าที่ เห็นไหม เวลาตัวเองคิด คิดแต่จะเอาตัวรอด คิดแต่ตัวเองว่าเป็นประโยชน์กับตัว แต่ผลกระทบจากตาจากยายนี่ผิดกฎหมายไปทุกๆ เรื่องเลย การกระทำของเราถ้ามันทำแล้วคนอื่นมันมีความผิดมีต่างๆ ไป

คิดเรื่องนี้แล้วพยายามสร้างวุฒิภาวะขึ้นมา เราไม่ทำให้กระทบกระเทือนใคร ไม่ทำให้คนต้องไปสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้ผิดพลาดไป รักษาใจตัว รักษาใจตัวให้ดี ให้ใจตัวขึ้นมาเป็นหลักของเรา เป็นที่พึ่งของเรา อย่าสร้างปัญหาให้กับตัวเราก่อน

เบียดเบียนตน เบียดเบียนตน เบียดเบียนตนไม่ให้ตนเติบโต ไม่ให้ตนดีขึ้น เบียดเบียนตนแล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนก็ไม่เบียดเบียนใครเลย ไม่เบียดเบียนตนพยายามสร้างศีล สมาธิขึ้นมา เบียดเบียนกิเลส ทำลายกิเลส ทำลายกิเลสให้หัวใจมันเจริญเติบโตขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับนักบวช เพื่อประโยชน์กับพระ เพื่อประโยชน์กับสังคมของสงฆ์ เอวัง